top of page
IMG_1061.JPG

แนะนำคู่มือเรื่อง “การขับเคลื่อนการลดปัจจัยเสี่ยงตามแนวพระพุทธศาสนา”

     สภาพสังคมที่ประชาชนถูกควบคุมด้วยตัวเลขของเวลา สภาวะการแข่งขันที่แฝงอยู่ในทุกอณูของสังคม ปัญหาความเครียดสะสมที่มาจากความกดดัน และความสำเร็จของลัทธิบริโภคนิยมที่ถูกถ่ายทอดผ่านการโฆษณาชวนเชื่อในช่องทางต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นแรงผลักดันให้ประชาชนมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเฉกเช่นปัจจุบัน แม้จะเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเจริญทางด้านวัตถุอย่างมากมาย แต่ก็เกิดผลกระทบที่นำไปสู่ปัญหาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบกับประชาชนก็คือ ปัญหาทางด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non Communicable Diseases) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรค NCDs” กลุ่มโรคชนิดนี้ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน ไขมันสูง เกาต์ ไตวาย เป็นต้น

S__6701119.jpg
S__6701120.jpg

     โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของโลกและของประเทศไทย เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 70 สำหรับในกรณีของประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้ให้เห็นว่า ในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะความเจ็บป่วยจากการเป็นโรคเบาหวานเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 8.9 ส่วนโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 (ข้อมูลในปี 2557) ซึ่งสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต การบริโภคอาหารเกินความจำเป็นทั้งปริมาณและสารอาหาร การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการละเลยต่อพฤติกรรมการออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มเติม นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารจำนวนมากและสิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ แล้ว ประชาชนยังต้องสูญเสียเงินทองไปกับการรักษาพยาบาล การซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม รวมทั้งการต้องหมดค่าใช้จ่ายไปกับค่าคอร์สลดน้ำหนักและคอร์สออกกำลังกายอีกด้วย

     ปัญหาทางด้านสุขภาพที่มาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจในระดับบุคคลเพียงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่องบประมาณรายจ่ายของประเทศอีกด้วย โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้ให้เห็นว่า รายจ่ายสุขภาพรวม (total health expenditure) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปีเฉลี่ยร้อยละ 16.8 (ข้อมูลในปี 2555 งบประมาณในส่วนนี้อยู่ที่ 513,213 ล้านบาท) สะท้อนถึงปัญหาทางด้านสุขภาพของประชาชนที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงและน่าเป็นห่วงมากกว่ากลุ่มคนอื่น ๆ ในสังคม พระสงฆ์ คือกลุ่มบุคคลที่ต้องได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ ทั้งการไม่สามารถเลือกฉันท์อาหารเองได้ พระสงฆ์ต้องฉันท์อาหารที่ได้รับการถวายจากฆราวาส (บุคคลที่ไม่ได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์) เพียงเท่านั้น และยังต้องสงวนท่าทีให้สำรวมเหมาะสม เกิดเป็นข้อจำกัดในเรื่องของการออกกำลังกาย ซึ่งมีเหตุผลมาจากหลักพระธรรมวินัยที่ท่านต้องยึดถือปฏิบัติ พระสงฆ์ต้องประสบกับปัญหาการอาพาธเจ็บป่วยในสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มบุคคลอื่น ๆ โดยจากข้อมูลของโรงพยาบาลสงฆ์พบว่า มีพระสงฆ์เข้ารับการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี และส่วนใหญ่ต่างต้องเจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแทบทั้งสิ้น ข้อมูลในปี 2558 พบว่า 5 อันดับโรคที่พบได้บ่อยในพระสงฆ์ได้แก่
1) โรคเมตาบอลิซึมและไขมันในเลือดผิดปกติ 2) โรคความดันโลหิตสูง 3) โรคเบาหวาน 4) โรคไตวายหรือไตล้มเหลว และ 5) โรคข้อเข่าเสื่อม

Screen Shot 2561-05-01 at 5.42.24 PM.png

บทบาทพระสงฆ์กับการทำงานสุขภาวะอย่างยั่งยืน

บทบาทพระสงฆ์กับการทำงานสุขภาวะอย่างยั่งยืน

"อาโรคฺยปรมา ลาภา"

ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง

     เป้าหมายหลักของพระพุทธศาสนาคือการดับทุกข์ คำว่า ทุกข์ เป็นคำบาลีที่มีความหมายเฉพาะในทางพระพุทธศาสนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้นิยามคำนี้ไว้ว่า “ความทรมาน ความโศก ความเจ็บปวด ความป่วยไข้ ความเศร้าหมอง ความเดือดร้อนใจ ความไม่สบาย ความไม่พึงพอใจ สถานการณ์ที่มีปัญหาความเครียดและความขัดแย้ง” หากพิจารณาจากคำนิยามดังกล่าว ความเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคต่าง ๆ ย่อมนำไปสู่ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ และเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างฉับพลัน พุทธศาสนาสอนถึงวิธีการดับทุกข์ ดังปรากฏอยู่ในหลักธรรมชื่อว่า อริยสัจ 4 ที่สอนว่า มีทุกข์ มีเหตุแห่งทุกข์ มีความดับทุกข์ และมีมรรคาสู่ความดับทุกข์ (นิพพาน) แต่เนื่องจากศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นการลงมือปฏิบัติ เป็นปรัชญาที่มีความเป็นนามธรรมสูง การศึกษาหลักธรรมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาความทุกข์ต่าง ๆ ของคนในสังคมได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำปรัชญาเหล่านี้ไปสู่การลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ปรัชญาที่มีความเป็นนามธรรมกลายเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น

     ความเสี่ยงทางด้านสุขภาพของพระสงฆ์ได้กลายเป็นวาระที่ถูกให้ความสำคัญมากขึ้น ดังปรากฏเนื้อหาอยู่ในวาระมติที่ 191/2560 ของสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีเนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินงานของพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเองตามหลักพระธรรมวินัย 2) ชุมชนและสังคมกับการดูแลอุปัฐฐากพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย และ 3) บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม โดยมีหลักการสำคัญคือการใช้หลักธรรมนำทางโลก มีมาตรการในการดำเนินการ 5 ด้าน คือ ความรู้ ข้อมูล การพัฒนา การบริการสุขภาพ และการวิจัย เป็นการแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันนั้น คณะสงฆ์เองได้เห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์ทางด้านสุขภาพ และพยายามที่จะวางบทบาทของตนเองในฐานะเป็นผู้ขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสุขภาวะสู่สังคม

     พระสงฆ์ในฐานะที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของพุทธศาสนาต่างริเริ่มดำเนินการกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ หนึ่งในโครงการที่มีผลงานเป็นรูปธรรมที่สุดโครงการหนึ่งก็คือ โครงการเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5”

     โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นนโยบายสำคัญของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่ดำริให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศน้อมนำหลักศีล 5 ไปสู่การปฏิบัติกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองและประโยชน์สุขของประชาชน ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยยึดมั่นคำสอนทางพระพุทธศาสนา หลักธรรมศีล 5 ข้อ เปรียบเสมือนเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต เป็นข้อปฏิบัติที่จะนำพาสังคมไปสู่สภาวะที่เป็นปกติสุข หรือที่เรียกว่า “สังคมแห่งสุขภาวะ” และสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้หากมีการน้อมนำไปปฏิบัติใช้ จากข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2560 แสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่มีมากถึง 41,435,024 คน แม้จะมีหลายฝ่ายให้ข้อคิดเห็นว่าจำนวนผู้เข้าร่วมที่มหาศาลดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบต่อสังคมที่มาจากโครงการก็ตาม

IMG_1070.JPG

     อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาจากงานวิจัยเรื่อง การเสริมสร้างสุขภาวะและการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา โดยพระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ.ดร. (สุทิตย์ อบอุ่น) ได้ตอบข้อสงสัยดังกล่าว ผ่านการลงพื้นที่ศึกษาเครือข่ายพระสงฆ์ที่รับนโยบายของโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มาปฏิบัติในพื้นที่ เครือข่ายเหล่านี้ได้ดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลต่อการยกระดับและพัฒนาสุขภาวะให้กับชุมชนครอบคลุมทุกมิติ (กาย จิต ปัญญา สังคม) อาทิ กิจกรรมอบรมเยาวชน กิจกรรมสุขภาพอนามัยชุมชน กิจกรรมการจัดตั้งกลุ่มกองทุนหมู่บ้าน กิจกรรมคุ้มครองสัตว์ป่าและเขตอภัยทาน กิจกรรมส่งเสริมทักษะการพูด กิจกรรมการลด ละ เลิก อบายมุขและยาเสพติด กิจกรรมงดเหล้าเข้าพรรษา กิจกรรมการออกกำลังกาย เป็นต้น แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการผ่านโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 นั้น สามารถยกระดับการพัฒนาสุขภาวะให้กับสังคมได้

ศีลข้อที่ 1 เป็นหลักประกันชีวิต

ศีลข้อที่ 2 เป็นหลักประกันทรัพย์สิน

ศีลข้อที่ 3 เป็นหลักประกันครอบครัว

ศีลข้อที่ 4 เป็นหลักประกันสังคม

ศีลข้อที่ 5 เป็นหลักประกันสุขภาพ

ที่มา : ครูบาชัยวงศา วัดพระบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน

     นอกจากนี้ ผลการศึกษาจากงานวิจัยชิ้นเดิมยังอธิบายให้ทราบเพิ่มเติมว่า คณะสงฆ์เองยังได้ดำเนินโครงการอื่น ๆ ที่มีผลงานเชิงประจักษ์นอกเหนือจากโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 อาทิ การขับเคลื่อนกิจกรรมของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) ที่มีกรอบการดำเนินงาน 8 ด้าน 1) ศีลธรรม 2) สุขภาพอนามัย 3) สัมมาชีพ 4) สันติสุข 5) ศึกษาสงเคราะห์ 6) สาธารณสงเคราะห์ 7) กตัญญูกตเวทิตาธรรม 8) สามัคคีธรรม

     โครงการสวดมนต์ข้ามปี ที่ให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นชีวิตด้วยสติและสิริมงคลในช่วงเทศกาลปีใหม่ แทนที่จะเป็นการเฉลิมฉลองโดยอาศัยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอบายมุขอื่น ๆ

     โครงการวัดบันดาลใจและวัดสร้างสุขด้วย 5 ส. : โครงการที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัดสู่การเป็นพื้นที่สัปปายะ โดยใช้หลัก 5 ส. ประกอบด้วย สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย

      กิจกรรมและโครงการที่ยกตัวอย่างมาเบื้องต้น เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนงานโดยคณะสงฆ์ ภายใต้กรอบการดำเนินงานที่เรียกว่า กิจการคณะสงฆ์ 6 ด้าน (การปกครอง ศาสนศึกษา เผยแผ่ สาธารณูปการ ศึกษาสงเคราะห์ สาธารณสงเคราะห์) เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของพระสงฆ์ที่พยายามปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม ผลลัพธ์จากกิจกรรมและโครงการจำนวนมากได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นของชุมชน เกิดการทำงานเชิงเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานภายนอกอื่น ๆ ที่จะส่งผลให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ชวนอ่าน “คู่มือการขับเคลื่อนการลดปัจจัยเสี่ยงตามแนวพระพุทธศาสนา”

คำนิยมโดย

พระเทพ.jpg

พระเทพปวรเมธี, รศ.ดร.

บรรณาธิการร่วม

พระศรีสมโพธิ.jpg
aj.chonlavit.jpg

พระศรีสมโพธิ, ดร.

รศ.ดร.ชลวิทย์ เจียรจิตต์

     คู่มือการขับเคลื่อนการลดปัจจัยเสี่ยงตามแนวพระพุทธศาสนา ชุดความรู้ที่ได้จากการขับเคลื่อนงานโครงการเสริมสร้างสุขภาวะและเครือข่ายทางสังคมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงเชิงพุทธบูรณาการ ที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คู่มือดังกล่าวเปรียบเสมือนเป็นเข็มทิศให้กับคณะสงฆ์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงสู่สังคม โดยจะชี้ชวนให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของปัจจัยเสี่ยง วิธีการลดปัจจัยเสี่ยงโดยใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ พัฒนาการในการขับเคลื่อนงานเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงของสถาบันทางศาสนาและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพื้นที่ เครือข่าย และชุมชนต้นแบบ ที่สามารถลด ละ เลิก จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นคู่มือหนึ่งที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการลดปัจจัยเสี่ยงโดยใช้วิธีการทางพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ หากผู้อ่านมีความสนใจอยากอ่านเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้

Cover.png

     แหล่งอ้างอิง

เขียนโดย

_DSC0021.jpg

พงษ์พัฒน์ ใหม่จันทร์ดี

bottom of page